LINK แจงผลประกอบการ Q1/2568 รายได้ลดลง แต่ยังย้ำเป้ารายได้ทั้งปี 7.12 พันล้านบาท
บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK รายงานผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 ในงาน Opportunity Day โดยมีรายได้รวม 1,775.40 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 111.13 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งรายได้และกำไร
นายสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ILINK ยังคงดำเนินกลยุทธ์การเติบโตอย่างมีคุณภาพ ผ่าน 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ ธุรกิจวิศวกรรมโครงการ และธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเทคโนโลยีด้านโครงสร้างพื้นฐาน และระบบการสื่อสาร เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระยะยาว อีกทั้ง บริษัทฯ ยังคงยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล ความยืดหยุ่นในการบริหาร และการปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ และเทคโนโลยี เพื่อให้สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว พร้อมเสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ลงทุน คู่ค้า ลูกค้า และสังคมโดยรวม แม้ไตรมาสแรกจะมีความท้าทายหลายด้าน แต่ ILINK พร้อมปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม และเดินหน้าต่ออย่างมั่นคง เชื่อมั่นว่าในไตรมาสต่อ ๆ ไป เราจะสามารถเร่งการเติบโต สร้างผลกำไรที่ดี และตอบสนองความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มได้อย่างแน่นอน”
รายได้แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่
-
ธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ มีรายได้ 832.80 ล้านบาท กำไรสุทธิ 84.73 ล้านบาท
-
ธุรกิจวิศวกรรมโครงการ มีรายได้ 136.57 ล้านบาท ขาดทุน 4.22 ล้านบาท
-
ธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ ดำเนินงานโดยบริษัทย่อย ITEL มีรายได้ 806 ล้านบาท กำไรสุทธิ 30.62 ล้านบาท
📌 ภาพรวมบริษัท ILINK ไตรมาส 1/2568

-
รายได้รวม: 1,775.40 ล้านบาท
-
กำไรสุทธิ: 111.13 ล้านบาท
-
รายได้และกำไรลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
-
แต่ยังคงเป้ารายได้ทั้งปีที่ 7,120 ล้านบาท ภายใต้ยุทธศาสตร์ “Quality Growth – เติบโตอย่างมีคุณภาพ”
🧩 รายละเอียดรายกลุ่มธุรกิจ
1️⃣ ธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (Cabling Distribution Business)
-
รายได้ Q1/68: 832.80 ล้านบาท
-
กำไรสุทธิ: 84.73 ล้านบาท
-
รายได้ลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน แต่ยังถือว่าเป็นกลุ่มที่ทำกำไรสูงสุดในทั้ง 3 ธุรกิจของบริษัท
-
จุดแข็งอยู่ที่ การควบคุมต้นทุนได้ดี และโครงสร้างต้นทุนที่ไม่ผันผวนมาก
-
เดินหน้าขยายตลาด ภายใต้แบรนด์ LINK AMERICAN & GERMAN RACK
-
เปิดตัวสินค้าใหม่ในปี 2024 ตามแนวคิด “New Innovation Products Launch 2024 – Expanding the Products Line 2025”
-
โฟกัสไปยังตลาดทั้งในประเทศและอาเซียน โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องการสายสัญญาณคุณภาพสูง
-
จุดสังเกต: ยังไม่มีการระบุส่วนแบ่งตลาดหรือแนวโน้มการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลง
2️⃣ ธุรกิจวิศวกรรมโครงการ (Turnkey Engineering Business)
-
รายได้ Q1/68: 136.57 ล้านบาท
-
ขาดทุนสุทธิ: 4.22 ล้านบาท
-
เป็นธุรกิจเดียวที่ขาดทุนในไตรมาสนี้
-
สาเหตุหลัก: การเบิกงบประมาณจากภาครัฐและการส่งมอบโครงการล่าช้า
-
แม้จะขาดทุน แต่ยังมีโครงการที่แล้วเสร็จ เช่น
-
โครงการ สายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะเต่า
-
โครงการ สถานีไฟฟ้านนทรี
-
-
บริษัทมีแผนเข้าร่วมประมูลโครงการขนาดใหญ่เพิ่มเติม โดยเฉพาะฝั่งภาครัฐ
-
ความท้าทายคือ การพึ่งพางบประมาณภาครัฐสูง ซึ่งอาจทำให้กระแสเงินสดไม่แน่นอน
3️⃣ ธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ (Telecom & Data Center Business)
ดำเนินการโดยบริษัทย่อย ITEL
-
รายได้ Q1/68: 806 ล้านบาท
-
กำไรสุทธิ: 30.62 ล้านบาท
-
รายได้ลดลงจากปีก่อน เนื่องจาก
-
มี การเลื่อนรับรู้รายได้ของบางโครงการ
-
ไม่มีโปรเจกต์ใหม่ขนาดใหญ่ในไตรมาสนี้
-
-
มีความเคลื่อนไหวสำคัญ:
-
ประกาศความร่วมมือกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.)
-
ตั้งบริษัทร่วมทุน “NDC” เพื่อให้บริการระบบความปลอดภัยสาธารณะและเทคโนโลยีดิจิทัล
-
น่าจะเป็นการปูทางเข้าสู่ตลาด “เทคโนโลยีความมั่นคง” และระบบ command center ในอนาคต
-
-
กลุ่มนี้ยังถือเป็นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตสูงในระยะกลาง-ยาว โดยเฉพาะเมื่อมีการผลักดันการใช้ Data Center และ 5G infrastructure
🔍 บทสรุปภาพรวม
-
แม้ Q1/2568 รายได้และกำไรจะลดลง แต่ ILINK ยังเน้นการบริหารธุรกิจโดยยึดกลยุทธ์ “โตอย่างมีคุณภาพ”
-
บริษัทเตรียมลุยโปรเจกต์รัฐ, ขยายตลาดสายสัญญาณ, และเจาะธุรกิจระบบความปลอดภัยดิจิทัล
-
ถ้าโครงการรัฐเดินหน้าได้เร็วขึ้น + ดาต้าเซ็นเตอร์เริ่มรับรู้รายได้เต็มปี มีโอกาสที่จะกระตุ้นรายได้ใน Q2–Q4 ได้ตามเป้า
รายได้ของทั้งสามกลุ่มลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยธุรกิจวิศวกรรมโครงการขาดทุนจากความล่าช้าในการส่งมอบและเบิกงบประมาณ ขณะที่ธุรกิจโทรคมนาคมมีรายได้ลดลงจากการเลื่อนรับรู้รายได้บางโครงการ แม้ผลประกอบการ Q1 จะชะลอตัว ILINK ยังตั้งเป้ารายได้ทั้งปี 2568 ไว้ที่ 7,120 ล้านบาท พร้อมดำเนินกลยุทธ์ “โตอย่างมีคุณภาพ” (Quality Growth) โดยเน้นการบริหารต้นทุน พัฒนาเทคโนโลยี และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการตั้งบริษัทร่วมทุน “NDC” กับ สทป. เพื่อขยายธุรกิจด้านระบบความปลอดภัยและเทคโนโลยีดิจิทัลในอนาคต