เปิดยิมปีนผาในออฟฟิศใจกลางสาทร
เปิดยิมปีนผาในออฟฟิศใจกลางสาทร: Sathorn Prime กับความพยายามสร้าง Work-Life Balance หรือแค่ ‘กลยุทธ์แต่งหน้า’ ของตลาดออฟฟิศไฮเอนด์?
ตลาดอาคารสำนักงานใจกลางเมืองกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยน—ไม่ใช่เพราะอัตราการเช่าพุ่งทะลุ หรือมีดีมานด์ใหม่ถาโถมเข้ามา แต่เพราะ “ความจำเป็นในการรีแบรนด์” เพื่อตอบสนองพฤติกรรมการทำงานที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนหลังยุคโควิด และ “สาทร ไพร์ม” (Sathorn Prime) ก็คือหนึ่งในเคสตัวอย่างที่น่าจับตา
✅ จากออฟฟิศธรรมดา…สู่ “ศูนย์กลางสุขภาพของคนทำงาน” ?
การเปิดบ้านต้อนรับ Balance Prime – ยิมปีนผาจำลองในร่ม บนชั้น 9 ของอาคาร Sathorn Prime ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะนี่คือสัญญาณที่ชัดว่าออฟฟิศยุคใหม่กำลังพยายามผันตัวเองเป็น “สถานที่ใช้ชีวิต” ไม่ใช่แค่ “สถานที่ทำงาน”

Balance Prime ไม่ใช่แค่มีบล็อกให้ปีน แต่ ออกแบบพื้นที่ 1,400 ตร.ม. ให้ครบทั้งฝั่งฟิตเนส, สตูดิโอพิลาทิส, คลาสเวิร์กชอป, โซนคาเฟ่สุขภาพ และแม้แต่ Co-working Space ที่อารมณ์เหมือนเอายิมมาเสียบในโครงสร้างออฟฟิศ
ถามว่าดีไหม? ดีแน่นอนสำหรับสายเฮลตี้ที่อยากออกกำลังกลางเมืองโดยไม่ต้องฝ่ารถติด แถมเป็นอีกแรงเสริมให้ตึกมีชีวิตชีวามากกว่าการขายสเปซเปล่า ๆ
❓แต่คำถามคือ… นี่คือทิศทางจริงของอาคารสำนักงานยุคใหม่ หรือเป็นเพียง “การแก้เกมเชิงภาพลักษณ์”?
ในฐานะคนที่อยู่กับตลาดออฟฟิศมาเกินสองทศวรรษ สิ่งที่ต้องพูดตรงๆ คือ:
ตลาดออฟฟิศในกรุงเทพฯ ไม่ง่ายอีกต่อไป โดยเฉพาะในทำเล CBD ที่ซัพพลายยังคงล้นและดีมานด์เบาบางลง
“Work from Home” กลายเป็นวิถีใหม่ที่แม้จะไม่ใช่ทุกคนจะทำได้ 100% แต่ก็ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการใช้พื้นที่สำนักงานอย่างชัดเจน บริษัทขนาดใหญ่หันมาเช่าพื้นที่น้อยลง แต่เน้นคุณภาพและสภาพแวดล้อมที่ช่วยเสริมแรงจูงใจให้พนักงานอยากกลับมาทำงาน onsite
สาทร ไพร์ม มองเห็นเกมนี้ และเลือกใช้ “สุขภาพ” เป็นแม่เหล็กหลัก
🧠 Smart Urban Living = แค่คำหรู หรือมีของจริง?
การที่ Sathorn Prime ขายตัวเองด้วยคอนเซ็ปต์ “Smart Urban Living” อาจฟังดูเท่ แต่ถ้าแกะดูจริง ๆ แล้วไม่ได้หมายถึงแค่เทคโนโลยีหรือระบบอัจฉริยะ เพราะหลายตึกเกรด A ก็ใส่มาหมดแล้ว (Face scan, Air quality monitoring, Flex floor plan ฯลฯ)
แต่สิ่งที่ Sathorn Prime พยายามทำมากกว่าคือ การแต่งชั้นบนของอาคารให้เป็น “พื้นที่ชีวิต” โดยไม่แค่เอาร้านกาแฟมาวาง แต่ “สร้างกิจกรรม” ที่จริงจัง และกลุ่มเป้าหมายรู้สึกว่ามันมี “ค่า” มากกว่าการนั่งอยู่บนเก้าอี้ Ergonomic เฉย ๆ
Balance Prime จึงกลายเป็นหมากตัวสำคัญ เพราะสามารถจับกลุ่มคนรุ่นใหม่, บริษัทสาย Tech, Creative, Startup ที่กำลังแสวงหาออฟฟิศที่ “ชวนให้มา” ไม่ใช่แค่ “ต้องมา”
📉 อัตราเช่า 70%: แสดงความสำเร็จ หรือยังมี Pain Point? แม้ตัวเลข 70% จะไม่ถือว่าเลวร้ายในตลาดวันนี้ แต่ก็ยังสะท้อนว่า ยังมี Room to Grow และความท้าทายในการเติมเต็มพื้นที่อีกพอสมควร
ตึกนี้มีพื้นที่รวมกว่า 21,000 ตร.ม. ถือว่าขนาดกลางค่อนไปทางใหญ่ และต้องแบกภาระในการบริหารพื้นที่ส่วนกลาง, สิ่งอำนวยความสะดวก และบรรยากาศให้ดู “แพง” ตลอดเวลา
อีกทั้งคู่แข่งโดยรอบไม่ใช่เล่น ๆ ทั้ง Empire Tower, AIA Sathorn, และ U Sathorn ที่ล้วนแต่เริ่มพลิกเกมกลับมาแข่งขันกันด้วยเรื่อง “ประสบการณ์ในตึก” เช่นเดียวกัน
👁🗨 มุมมองในฐานะผู้เช่ารุ่นใหม่: Location ดี แต่ไม่ใช่ทุกอย่าง
ทำเลของ Sathorn Prime บนถนนนราธิวาสฯ ใกล้ BTS ช่องนนทรี และ BRT นั้นถือว่า “ได้เปรียบ” ในแง่การเดินทาง แต่ก็ไม่ได้ ไร้คู่แข่ง
หากเทียบกับตึกอื่น ๆ ที่ใกล้ BTS มากกว่านี้ หรือมีวิวแม่น้ำ, ฟังก์ชันตึกใหม่ล่าสุด หรือโปรไฟล์ผู้เช่าระดับ Big 4 กินพื้นที่ทั้งชั้น Sathorn Prime อาจยังต้องเพิ่ม “หมัดเด็ด” อีกหน่อย เพื่อดึงดูดผู้เช่าที่มองหาความพิเศษกว่าทำเล
🔚 บทสรุป: นี่คือจิ๊กซอว์ที่ถูกทาง แต่เกมยังไม่จบ
การเปิด Balance Prime ไม่ใช่แค่เติมลูกเล่นให้กับตึกเกรด A แต่คือการ “ขยับชิ้นหมากในเกมอสังหาฯสำนักงานยุคใหม่” อย่างมีชั้นเชิง
คำถามต่อไปคือ: Sathorn Prime จะสามารถรักษา Momentum นี้ไว้ได้หรือไม่?
และจะมีไพ่ใบอื่นที่สามารถ “เปลี่ยนการมาออฟฟิศ” ให้เป็นประสบการณ์ที่คนรอคอยได้จริงหรือเปล่า?
ในยุคที่ออฟฟิศไม่ใช่แค่สี่เหลี่ยมแอร์เย็นอีกต่อไปการ “บาลานซ์” ระหว่างฟังก์ชัน-ฟีลลิ่ง-ฟิตเนส อาจเป็นทางรอดเดียวของอาคารแบบเดิม ที่อยากอยู่รอดในโลกที่เปลี่ยนเร็วเกินคาด