บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เปิดให้บริการโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ภายใต้ชื่อ “บีทีเอส วิชันนารี ปาร์ค” อย่างเป็นทางการ โดยตั้งอยู่บนถนนวิภาวดี-พหลโยธิน ครอบคลุมพื้นที่ 11-0-40.7 ไร่ หรือประมาณ 17,763 ตารางเมตร ตัวอาคารสูง 36 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอยรวมประมาณ 167,641 ตารางเมตร แบ่งเป็นพื้นที่ให้เช่าสุทธิ 80,197 ตารางเมตร โดยเป็นสำนักงานระดับพรีเมียมขนาด 72,730 ตารางเมตร และพื้นที่รีเทลอีก 7,467 ตารางเมตร
นายกวิน กาญจนพาสน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บีทีเอส วิชันนารี ปาร์คเป็นโครงการซึ่งเกิดขึ้นจากวิสัยทัศน์ในการสร้างสรรค์คอมมูนิตี้ที่มีสีสันและตอบสนองไลฟ์สไตล์คนเมืองได้อย่างครบวงจร พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับทั้งผู้เช่าและผู้มาใช้บริการ ถือเป็นโครงการที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราต่อหลักความยั่งยืน โดยผสานนวัตกรรมการออกแบบที่ล้ำสมัย การจัดสรรพื้นที่สีเขียว และการใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะ เพื่อให้เป็นชุมชนที่มีความยั่งยืนในตัวเอง และมีส่วนช่วยในการสร้างผลเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับผู้คนทั้งในวันนี้และในอนาคต”
“ที่สำคัญ โครงสร้างอาคารของ บีทีเอส วิชันนารี ปาร์ค ได้รับการประเมินและรับรองด้านความปลอดภัยและความพร้อมในการรับมือกับแผ่นดินไหวในระดับสูงสุด โดยผลจากการตรวจสอบอย่างละเอียด ซึ่งดำเนินการโดยปาล์มเมอร์ แอนด์ เทอร์เนอร์ (ประเทศไทย)(Palmer & Turner (Thailand) Ltd.) และโปรไฟร์ อินสเปคเตอร์ (Profire Inspector) ยืนยันว่าการออกแบบอาคารมีความแข็งแกร่งและสอดคล้องกับมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด เพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับผู้ใช้งานทุกคน”
โครงการดังกล่าวพัฒนาเพื่อรองรับการเติบโตของเมืองและตอบสนองความต้องการใช้งานพื้นที่แบบครบวงจรในลักษณะมิกซ์ยูส ตัวอาคารออกแบบโดย Palmer & Turner (Thailand) Ltd. และได้รับการตรวจสอบระบบความปลอดภัยและระบบอัคคีภัยจากบริษัท Profire Inspector โดยผ่านการรับรองมาตรฐานจากกรมโยธาธิการและผังเมือง รวมถึงกรุงเทพมหานคร ในด้านโครงสร้างอาคาร ระบบรับมือแผ่นดินไหว และมาตรฐานความปลอดภัยที่เกี่ยวข้อง
ในส่วนของพื้นที่สำนักงาน โครงการออกแบบให้ไม่มีเสากลางเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งาน มีความสูงจากพื้นถึงฝ้า 3 เมตร ติดตั้งกระจกฉนวน 3 ชั้นแบบ Low-E เพื่อกรองรังสีความร้อนและแสงยูวี พร้อมด้วยระบบปรับอากาศแบบ VAV ที่สามารถควบคุมคุณภาพอากาศภายในอาคาร (IAQ) ได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ อาคารยังได้รับการรับรอง WiredScore Gold ซึ่งยืนยันถึงความพร้อมของระบบโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง รองรับการใช้งาน 5G การประชุมออนไลน์ และการทำงานในลักษณะดิจิทัลได้อย่างมีเสถียรภาพ
พื้นที่รีเทลภายในโครงการมีร้านค้าและร้านอาหารหลากหลายประเภท รวมแล้วกว่า 200 เมนู โดยมีจุดขายสำคัญอย่างร้าน Turtle X ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับผู้บริโภคที่ใช้ชีวิตเร่งรีบในเมือง จำหน่ายอาหารพร้อมทานและสินค้าคุณภาพที่คัดเลือกจากผู้ผลิตภายในประเทศ นอกจากนี้ยังมีพื้นที่สำหรับ Pop-up Store และกิจกรรมในลักษณะ Experience Zone ที่รองรับการจัดงานส่งเสริมการตลาดและแบรนด์ต่าง ๆ
โครงการยังเน้นการจัดการพื้นที่สีเขียวและระบบอัจฉริยะ โดยได้รับการรับรองมาตรฐาน LEED Gold สำหรับการจัดวางพื้นที่สีเขียวทั้งแนวตั้งและแนวราบ เพื่อส่งเสริมสุขภาวะของผู้ใช้อาคาร มีการติดตั้งระบบลิฟต์แบบ Destination Control ที่ช่วยลดระยะเวลาการเดินทางภายในอาคาร และระบบ Visitor Management System (VMS) สำหรับควบคุมการเข้าออกอาคารอย่างมีประสิทธิภาพ โครงการยังพัฒนาแอปพลิเคชัน “HOP” สำหรับสมาชิกผู้ใช้อาคาร ใช้สะสมคะแนนเพื่อแลกรับบริการหรือสินค้าภายในพื้นที่
บีทีเอส วิชันนารี ปาร์ค ยังมีพื้นที่นอกเหนือจากการใช้งานเชิงพาณิชย์ อาทิ ลู่วิ่งกลางแจ้ง ฟิตเนสเซ็นเตอร์ และออดิทอเรียม โดยจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบภายในเดือนพฤศจิกายน 2568 เพื่อรองรับกิจกรรมด้านสุขภาพ การจัดงาน และการประชุมสัมมนา
โครงการตั้งอยู่ในจุดที่สามารถเชื่อมต่อระบบขนส่งสาธารณะหลักของกรุงเทพมหานคร ได้แก่ BTS, MRT, SRT และสถานีกลางบางซื่อ ทั้งยังเป็นอาคารสำนักงานแห่งแรกในพื้นที่ที่มีทางเชื่อม Skywalk จากสถานี BTS เข้าสู่ตัวอาคารโดยตรง สำหรับผู้ที่ใช้รถยนต์ โครงการตั้งอยู่ใกล้กับทางพิเศษศรีรัชและทางพิเศษเฉลิมมหานคร ซึ่งสามารถเดินทางไปยังสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิได้ภายในหนึ่งชั่วโมง
ภายในโครงการมีที่จอดรถรวม 1,521 คัน พร้อมติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 102 จุด ซึ่งถือเป็นจำนวนมากที่สุดเมื่อเทียบกับอาคารสำนักงานอื่นในกรุงเทพฯ พร้อมระบบตรวจจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และระบบระบายอากาศในพื้นที่จอดรถ เพื่อควบคุมคุณภาพอากาศตามเกณฑ์มาตรฐาน
บีทีเอส วิชันนารี ปาร์ค ถือเป็นโครงการที่พัฒนาโดยมีเป้าหมายในการสร้างพื้นที่เชิงพาณิชย์ที่สามารถใช้งานได้อย่างครบวงจร รองรับการทำงาน พักผ่อน และกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ โดยให้ความสำคัญกับความปลอดภัย ความยั่งยืน และประสิทธิภาพในการใช้งานสำหรับผู้ใช้ในปัจจุบันและอนาคต